อยากเรียนเก่งเหมือนหัวกะทิ ต้องทำอย่างไร เรามีเคล็ดลับ

เคล็ดลับการเรียนเก่ง

          เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคนเรียนเก่งอันดับต้น ๆ ของโรงเรียน หรือของประเทศ เขาเหล่านั้นมีเคล็ดลับ และเทคนิคในการเรียนอย่างไร วันนี้เราจึงได้เสาะแสวงหาคำตอบ จากเหล่านักเรียนเกรด A ว่าเขามีเคล็ดลับดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อน้อง ๆ ที่กำลังต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเด็กเรื่อยเปื่อย เรียนดีบ้าง แย่บ้าง เปลี่ยนมาเป็นเด็กเรียนระดับหัวกะทิ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จากเทคนิคที่เรานำมาวันนี้ จะช่วยให้การเรียนของเด็ก ๆ ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอ่านหนังสือแบบอัดแน่นตอนสอบหนัก เมื่อเหนื่อย เมื่อเครียด อ่านหนังสืออย่างไรก็ไม่เข้าหัวสักที จากนี้ให้ลองนำเทคนิคจากเหล่าหัวกะทิ ไปฝึกทำดู รับรองได้ผลแน่นอน

1. ไม่อ่านหนังสือเรียน

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า เหล่าหัวกะทิ พวกเขาไม่อ่านหนังสือเรียนกัน แต่เรากำลังจะบอกว่า การอ่านหนังสือเรียนทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลได้น้อยมาก เพราะเหล่าเด็กหัวกะทิทั้งหลาย เขาจะไม่อ่านหนังสือเรียน แต่จะใช้วิธีลงมือปฎิบัติแทน เช่น การทำแบบฝึกหัด หรือแก้โจทย์ปัญหาต่าง ๆ โดยการหาความรู้เพิ่มเติมจาก Google, ข้อสอบเก่า, หรือจากช็อตโน้ต เพราะในการทำสิ่งเหล่านี้นั้น จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะเวลาอันสั้น

2. ทำความเข้าใจสิ่งที่เรียน ด้วยคำอธิบายเราเอง

สิ่งสำคัญในการเรียนคือ การทำความเข้าใจในบทเรียนนั้น ๆ หลังจากที่คุณครูสอนเสร็จแล้ว จงพยายามจดโน้ต ย่อบทเรียนสั้น ๆ ด้วยคำพูดของเราเอง จับใจความสำคัญให้ได้ แล้วนำมาวิเคราะห์ให้ได้ว่า สิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือ และที่คุณครูสอน อะไรคือ “หัวใจสำคัญ” จากนั้นอธิบายสั้น ๆ ด้วยคำพูดของเราเอง จากนั้นเขียนย่อลงไปในสมุด และนำมาทบทวนก่อนสอบ เพียงเท่านี้ เรื่องการเรียนจะไม่ยากสำหรับคุณอีกต่อไป

3. เรียนดี เรียนเก่ง ไม่กลัวที่จะถาม

สำหรับเด็กหัวกะทิ เราจะเห็นได้ว่า พวกเขาไม่กล้าที่จะถาม เมื่อเกิดความสงสัย หรือไม่เข้าใจตรงส่วนไหน พวกเขาจะจดคำถามเหล่านั้นไว้ จากนั้นนำไปให้คุณครู หรือเพื่อนที่เข้าใจ อธิบายให้เขาฟัง จงอย่ากลัวที่จะถาม คำถามโง่ ๆ และอย่างหลีกเลี่ยงการท่องจำ อย่างไม่เข้าใจ เพราะการเรียนแบบนั้น นอกจากจะไม่ได้ผลแล้วนั้น ยังถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว

4. ชอบที่จะตั้งคำถาม

หากเป็นเด็กนักเรียนทั่วไป เมื่อคุณครูสอน อาจตั้งใจฟัง พร้อมจดลงในสมุดบันทึกทุกอย่างที่คุณครูบอก และพยายามที่จะจำสิ่งเหล่านั้นให้ได้ แต่หากเป็นเด็กหัวกะทิ พวกเขาจะพยายามที่จะตั้งคำถาม และหลังจากนั้น พวกเขาจะเริ่มค้นหาคำตอบจาก Google หรือใน วิกิพีเดีย เพื่อหาคำตอบ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ จะช่วยให้คุณจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้มากขึ้น จนเรียกได้ว่า ฝั่งลึกลงไปไหนสมอง เพราะนี่คือพลังแห่งการตั้งคำถามนั่นเอง

5. ไม่ท่องจำ ต้องเข้าใจโครงสร้าง

เคล็ดลับสำหรับเด็กหัวกะทิ คือ พวกเขาจะพยายามทำความเข้าใจในโครงสร้างต่าง ๆ ในบทเรียน มากกว่าการท่องจำ เพราะการที่จะพยายามจดจำสิ่งต่าง ๆ นั้น จะมีผลกระทบต่อการจำอะไรไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเข้าใจในโครงสร้างต่าง ๆ แล้ว คุณก็จะจำสิ่งต่าง ๆ ได้เอง ซึ่งต่างจากการท่องจำเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อคุณเจอโจทย์ที่พลิกแพลงไปจากที่ท่องมา คุณอาจทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป และวิธีนำปรับไปใช้

6. ทดสอบตัวเองบ่อย ๆ

การทดสอบตัวเองบ่อย ๆ นอกจากจะทำให้สมองของคุณสามารถเชื่อมต่อกับเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างดีแล้ว แต่วิธีนี้จะทำให้คุณรู้ตัวเองได้อย่างทันทีว่า คุณมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาบทเรียนใหม่ ๆ หรือไม่ ในต่างประเทศเคยมีผลวิจัยออกมาแล้วว่า วิธีนี้จะช่วยให้จำบทเรียนได้ดีขึ้น คือ หลังจากเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการทำแบบทดสอบโดยแบ่งเป็น 5 นาที 2 วัน และอีก 2 สัปดาห์ต่อมา จะช่วยให้จำได้แม่นยิ่งขึ้น มากกว่าการเรียนเพียงอย่างเดียว หรืออาจจำลองการทำข้อสอบเสมือนจริง มีการจับเวลา และจำนวนข้อสอบ ถือเป็นการฝึกตัวเองไปในตัวอีกด้วย

7. ทำสิ่งที่นอกเหนือจากการฟังบรรยาย

เชื่อว่า การฟังบรรยาย อาจเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับใครหลายคน คุณครูอาจพูดเร็วไปจนคุณจดไม่ทัน หรือพูดช้ามากจนคุณอยากหลับ สำหรับเด็กหัวกะทิ พวกเขามีวิธีจัดการกับสิ่งน่าเบื่อเหล่านี้ โดยการ

ฉันจะไม่ไปไหน แม้ว่ามันจะน่าเบื่อ เพราะเวลาดีที่สุดคือ เวลาในห้องเรียน

อ่านบทเรียนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยาย

ตั้งคำถามจากการอ่านล่วงหน้า เพื่อหาคำตอบจากการฟังบรรยาย

โฟกัสไปที่ปัญหา ที่เกิดขึ้น และจดลงไปในสมุดบันทึก จากนั้นพยายามจับใจความสำคัญในสิ่งที่คุณครูสอน และหัวข้อในการใช้สอบ

สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การฟังบรรยายมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถนำมาอ่านทบทวนในภายหลังได้ ในระยะเวลาอันสั้น

8. ใช้เครื่องมือศึกษาออนไลน์เป็นประจำ

อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณครูสอน หรือในตำราเรียน เพราะยังมีความรู้อีกมากมายที่คุณสามารถหาได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งเด็กหัวกะทิส่วนใหญ่ จะหาความรู้เพิ่มเติมจากการเซิร์ท Google แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ทำจนติดเป็นนิสัย