วิธีสร้างกิจวัตรการทำงานจากที่บ้าน (WFH) ที่ใช่ เพื่อชีวิตที่ลงตัวและงานที่มีประสิทธิภาพ

ข่าวการศึกษา

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกัน การทำงานจากระยะไกล (Work From Home หรือ WFH) ได้กลายเป็นรูปแบบการทำงานที่แพร่หลายและเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผู้คนจำนวนมากทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมการทำงาน องค์กรต่างๆ เริ่มยอมรับว่าพนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ไม่ได้อยู่ในสำนักงาน

แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านจะมอบความยืดหยุ่นและอิสระที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายในการรักษาประสิทธิภาพ สมาธิ และความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว โดยปราศจากโครงสร้างของออฟฟิศแบบเดิม หลายคนพบว่าตัวเองทำงานหนักกว่าเดิม ขาดการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว หรือกลับกันคือเสียสมาธิง่ายจนทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมาย

การสร้างกิจวัตร WFH ที่เหมาะสมกับตนเองจึงไม่ใช่แค่ตารางเวลา แต่เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งการออกแบบกิจวัตรที่ใช่สำหรับตัวเองนั้นต้องคำนึงถึงทั้งลักษณะงาน บุคลิกภาพ และสภาพแวดล้อมในบ้านของแต่ละคน

ความสำคัญของการจัดกิจวัตรในการทำงานจากที่บ้าน (WFH)

กิจวัตรประจำวันที่ออกแบบมาอย่างดีเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานจากระยะไกล งานวิจัยจากหลายสถาบันยืนยันว่าโครงสร้างที่ดีในชีวิตประจำวันส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความเป็นอยู่ทางจิตใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวม ความสำคัญของการมีกิจวัตรที่ดีมีดังนี้:

1. สร้างโครงสร้างและความชัดเจน

กิจวัตรที่มีรูปแบบช่วยกำหนดขอบเขตระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว ป้องกันปัญหาเส้นแบ่งที่เลือนราง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียสมาธิ การผัดวันประกันพรุ่ง หรือภาวะหมดไฟ นักจิตวิทยาองค์กรเชื่อว่าสมองมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้นเมื่อมีโครงสร้างที่คาดเดาได้ เพราะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ (Decision Fatigue)

2. บริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

กิจวัตรช่วยให้สามารถจัดสรรเวลาสำหรับภาระหน้าที่ทางอาชีพและความต้องการส่วนตัวได้อย่างสมดุล ทำให้ทุกชั่วโมงเกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อเรารู้ว่าช่วงเวลาใดควรทุ่มเทให้กับงานประเภทไหน เราสามารถวางแผนและจัดการทรัพยากรเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียเวลาไปกับการลังเลหรือเปลี่ยนไปมาระหว่างงานต่างๆ

3. ส่งเสริมประสิทธิภาพและสมาธิ

การมีตารางเวลาที่ชัดเจนช่วยลดสิ่งรบกวน และทำให้จดจ่อกับงานที่สำคัญได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคนิคการบริหารเวลา เช่น การแบ่งช่วงเวลาทำงาน (Time Blocking) เมื่อสมองรู้ว่าต้องโฟกัสกับอะไรในช่วงเวลาไหน จะเข้าสู่สภาวะ “Flow” หรือภาวะที่มีความจดจ่อสูงสุดได้ง่ายขึ้น

4. ลดความเครียดและความเหนื่อยล้าทางจิตใจ

กิจวัตรประจำวันขจัดภาระในการตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีพลังงานสมองเหลือสำหรับความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การวิจัยด้านประสาทวิทยาพบว่า การตัดสินใจแต่ละครั้งใช้พลังงานสมอง และเมื่อต้องตัดสินใจมากเกินไป จะนำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางความคิด

5. ป้องกันการทำงานหนักเกินไปและภาวะหมดไฟ

การกำหนดเวลาเริ่มต้น เลิกงาน และเวลาพักผ่อนที่ชัดเจน ช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ หลายคนที่ทำงานจากบ้านมักพบว่าตนเองทำงานล่วงเวลาโดยไม่รู้ตัว เพราะขาดสัญญาณบ่งบอกการสิ้นสุดวันทำงานที่ชัดเจน เช่น การเห็นเพื่อนร่วมงานเก็บของกลับบ้าน

6. สร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance)

กิจวัตรที่ดีเอื้อให้มีเวลาสำหรับการผ่อนคลาย ทำงานอดิเรก และใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัว ซึ่งสำคัญต่อความพึงพอใจในชีวิตโดยรวม และยังส่งผลให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การรักษาสมดุลนี้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสุขและความสำเร็จในระยะยาว

เคล็ดลับในการสร้างกิจวัตร WFH ที่สมบูรณ์แบบ

การสร้างกิจวัตร WFH ที่มีประสิทธิภาพคือการผสมผสานระหว่างโครงสร้างและความยืดหยุ่นที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและจังหวะชีวิตของแต่ละบุคคล โดยมีแนวทางที่น่าสนใจดังนี้:

1. กำหนดเวลาทำงานที่แน่นอน

เลือกเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานที่ชัดเจน และยึดถือปฏิบัติตามนั้นอย่างสม่ำเสมอ เสมือนว่าคุณกำลังเดินทางไปที่ทำงาน ให้แต่งตัวเหมาะสม (ไม่ต้องเป็นชุดทางการ แต่ควรเปลี่ยนจากชุดนอน) เพื่อสร้างความรู้สึกเริ่มต้นวันทำงาน และใช้พิธีการ “จบวัน” เช่น การปิดคอมพิวเตอร์ จัดเก็บโต๊ะทำงาน หรือเดินออกไปนอกบ้านสั้นๆ เพื่อสร้างการตัดขาดจากงาน

2. จัดสรรพื้นที่ทำงานเฉพาะ

สร้างพื้นที่ทำงานที่เหมาะสมแก่ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหรูหรา เพียงมีโต๊ะทำงาน แสงสว่างเพียงพอ และเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการทำงาน หากเป็นไปได้ ควรแยกพื้นที่ทำงานออกจากพื้นที่พักผ่อน เช่น ไม่ทำงานบนเตียงนอน เพื่อให้สมองแยกแยะบริบทได้ชัดเจน นอกจากนี้ การจัดอุปกรณ์ให้เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน

3. ใช้เทคนิคการแบ่งเวลา (Time Blocking)

จัดสรรช่วงเวลาสำหรับงานประเภทต่างๆ เช่น การตอบอีเมล การทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง หรือการประชุม อาจใช้เครื่องมือช่วยอย่างปฏิทินดิจิทัล (Google Calendar) หรือแอปพลิเคชันจัดการงาน (Todoist, Notion) นักวางแผนชั้นนำอย่าง Cal Newport แนะนำให้แบ่งวันเป็นช่วงๆ และกำหนดงานเฉพาะสำหรับแต่ละช่วง แทนที่จะใช้รายการสิ่งที่ต้องทำแบบยาวเหยียด

4. จัดลำดับความสำคัญของงาน

ระบุงานที่ “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” และให้ความสำคัญกับงานเหล่านั้น เนื่องจากมักเป็นงานที่สร้างคุณค่าในระยะยาว ทำงานที่สำคัญหรือซับซ้อนที่สุดในช่วงเวลาที่พลังงานสูงสุด (เช่น ตอนเช้าสำหรับคนที่ทำงานได้ดีในตอนเช้า) และเก็บงานที่ไม่ซับซ้อนไว้ทำในช่วงที่พลังงานลดลง เทคนิค Eisenhower Matrix ที่แบ่งงานตามความสำคัญและความเร่งด่วนสามารถช่วยในการจัดลำดับความสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. พักผ่อนอย่างสม่ำเสมอ

การพักสั้นๆ ระหว่างทำงาน (เช่น เทคนิค Pomodoro: ทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที) ช่วยให้สมองได้พักและรักษาความสดชื่น อาจใช้เวลาพักในการยืดเส้นยืดสาย พักสายตา หรือเดินเล่นสั้นๆ งานวิจัยด้านประสิทธิภาพการทำงานพบว่า การพักเป็นระยะช่วยฟื้นฟูความสนใจและป้องกันภาวะล้าทางความคิด (Cognitive Fatigue)

6. ดูแลตนเอง (Self-Care)

จัดสรรเวลาสำหรับการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เช่น การทำสมาธิ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ การนอนหลับที่เพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการโฟกัสและตัดสินใจ การออกกำลังกายแม้เพียง 30 นาทีต่อวัน ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน และช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

7. กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน

สื่อสารตารางเวลาและขอบเขตความพร้อมในการทำงานให้เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และคนรอบข้างทราบ ตั้งค่าสถานะการทำงานใน Slack หรือทีมส์ให้แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงโฟกัสและไม่ต้องการการรบกวน ใช้เครื่องมือช่วยบล็อกเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่รบกวนสมาธิในช่วงเวลาทำงาน เช่น Freedom หรือ Focus@Will และตั้งกฎกติกาในบ้านเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ต้องการความเงียบ

8. ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

เลือกใช้เครื่องมือที่ช่วยในการจัดระเบียบ ติดตามโครงการ (เช่น Trello, Asana) หรือสื่อสารในทีม (เช่น Slack, Microsoft Teams) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ระวังอย่าให้เทคโนโลยีกลายเป็นตัวขัดขวาง ตั้งค่าการแจ้งเตือนให้รับเฉพาะที่จำเป็น และใช้แอปตรวจจับเวลาหน้าจอเพื่อติดตามว่าใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง

9. สร้างพิธีการเชิงสังคม

เนื่องจากการทำงานจากที่บ้านอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว ควรจัดสรรเวลาสำหรับการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานนอกเหนือจากการประชุมงาน อาจเป็นการพูดคุยทางวิดีโอ หรือนัดพบปะนอกเวลางานเป็นครั้งคราว การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมช่วยเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และป้องกันความรู้สึกแปลกแยก

10. ทบทวนและปรับเปลี่ยน

ประเมินกิจวัตรของตนเองเป็นประจำ (เช่น ทุกสัปดาห์) เพื่อดูว่าสิ่งใดได้ผล สิ่งใดควรปรับปรุง และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนไป ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสิ่งที่ใช้ได้ผลในวันนี้อาจไม่เหมาะสมในอีกสองเดือนข้างหน้า การทบทวนตนเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ที่ได้รับจากกิจวัตร WFH ที่ดี

การมีกิจวัตร WFH ที่มั่นคงนำมาซึ่งประโยชน์หลายประการ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า การทำงานจากที่บ้านสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 13% และพนักงานยังรายงานความพึงพอใจในงานที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราการลาออกที่ลดลงถึง 50% เมื่อได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ตนเองควบคุมได้และมีความยืดหยุ่น

1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การมีสมาธิและลดสิ่งรบกวนช่วยให้ทำงานได้มีคุณภาพและปริมาณมากขึ้น การเว้นระยะห่างจากการประชุมที่ไม่จำเป็นและการขัดจังหวะในสำนักงานช่วยให้มีช่วงเวลาความคิดลื่นไหลต่อเนื่อง (Deep Work) ได้ยาวนานขึ้น

2. ส่งเสริมสุขภาพจิต

กิจวัตรที่ดีช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลจากความไม่แน่นอน สร้างความรู้สึกมั่นคงและควบคุมได้ ลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ที่อาจเกิดจากการทำงานแบบไร้ขอบเขต

3. ปรับปรุงสมดุลชีวิตและการทำงาน

กิจวัตรที่ออกแบบอย่างรอบคอบช่วยปกป้องเวลาส่วนตัวจากการรุกล้ำของงาน ทำให้มีเวลาคุณภาพสำหรับครอบครัว งานอดิเรก และการพักผ่อน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสุขโดยรวมและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

4. สร้างวินัย

การรักษากิจวัตรอย่างสม่ำเสมอช่วยพัฒนาทักษะการจัดการตนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิต เมื่อเราฝึกรักษาวินัยในการทำงาน จะส่งผลให้มีวินัยในด้านอื่นๆ เช่น การออมเงิน การดูแลสุขภาพ หรือการพัฒนาตนเอง

5. แสดงความเป็นมืออาชีพ

การทำงานอย่างสม่ำเสมอและส่งมอบงานตรงเวลาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมสำนักงานแบบดั้งเดิม เมื่อหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานเห็นว่าสามารถพึ่งพาได้ โอกาสในการเติบโตทางอาชีพก็มีมากขึ้น

บทสรุป

แม้การทำงานจากที่บ้านจะมอบอิสระและความยืดหยุ่นที่หลายคนปรารถนา แต่การสร้างกิจวัตรที่มีโครงสร้างและปรับให้เหมาะกับตนเอง คือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รักษาความเป็นอยู่ที่ดี และสร้างความสำเร็จในระยะยาว ทั้งในด้านอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว

จำไว้ว่าไม่มีกิจวัตรที่เหมาะสมกับทุกคน สิ่งสำคัญคือการค้นหาสิ่งที่เหมาะกับสไตล์การทำงาน ลักษณะงาน และสภาพแวดล้อมของคุณ อย่ากลัวที่จะทดลองและปรับเปลี่ยนจนกว่าจะพบสูตรที่ลงตัว การลงทุนเวลาในการพัฒนากิจวัตร WFH ที่มีประสิทธิภาพจะให้ผลตอบแทนมหาศาลในแง่ของผลงาน ความสุข และคุณภาพชีวิตโดยรวม